บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เงาของพรสวรรค์


บทความเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก เรื่องสั้น ของ คุณชาติ กอบจิตติ

เงาของพรสวรรค์
ชีวิตของเขาช่างคล้ายกับตัวละครที่ชื่อพรสวรรค์ในหนังสือ นครไม่เป็นไร ของชาติ กอบจิตติ ไม่มีผิด เขาเป็นนักศึกษาที่ชอบเล่นดนตรี เขามีวงดนตรีอยู่ในมหาลัย มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นศิลปินโด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทุกๆวันเขานั้งฟังเพลง แล้วนั่งคิดเพ้อฝันกับตัวเองว่าจะต้องเป็นศิลปินพวกนี้ให้ได้ เขามีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กๆ แต่ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่ยากจนไม่มีทุนที่จะสนันสนุนคอยช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขารักอยากจะเป็นนอกเสียจากส่งเสียเขาเรื่องการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ถึงแม้เขาจะมีความใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปิน แต่น้อยครั้งนักที่จะเห็นพวกเขาและเพื่อนๆไปซ้อมดนตรีกัน นอกเสียจากจะใกล้ถึงวันแสดงดนตรีตามงานต่างๆและงานประกวด เขาคิดเพียงแต่ว่าคงจะมีแมวมองหรือค่ายเพลงสักค่ายผ่านมาในในตอนที่เขากำลังเล่นดนตรีอยู่ตามงานบ้างในบางครั้ง เขาแต่งเพลงไว้เยอะ เขาคิดต่างๆนาๆเกี่ยวกับบทเพลงที่เขาแต่งเอาไว้ เขาวาดฝันเอาไว้ว่าถ้าเขามีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองสักอัลบั้ม อัลบั้มเพลงของเขาจะต้องเป็นเพลงแบบไหย เอ็มวีเพลงสไตล์ไหนและตอนขึ้นเล่นจะต้องแต่งตัวแบบไหน หน้าปกอัลบั้มของเขาหน้าตาเป็นยังไง ต้องมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง มีสาวๆรุมล้อมมกามาย ทุกสิ่งทุกอย่างเขาคิดวาดฝันไว้หมดแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดจะฝึกฝน ซ้อมกันและลงมือทำเพลงกันจริงๆจังๆซักที ทุกๆวันเขาได้แต่นั่งจ้องมองอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นวันๆ นั่งฟังเพลงของศิลปินวงอื่นๆและคิดถึงแต่บทเพลงของเขาพลางยิ้มคนเดียวอย่างมีความสุขถึงฝันของเขา เขามีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมซึ่งตอนนี้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เขารอเพื่อนของเขาชักชวนไปเป็นศิลปินด้วยกันในค่ายเพลงใหญ่ แต่เขาไม่คิดที่จะลงมือทำเลย เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปีแล้ว หลังจากเขาปลดประจำการจากการเป็นทหาร เขาก็กลับมาเรียนต่อและยังคงนั่งเพ้อฝันลมๆแล้งๆอยู่เหมือนเดิม เขาพักการเรียนไว้เป็นเวลาสองปี แต่รัหว่างที่เขาเป็นทหารอยู่ เขาคิดอยู่ในใจเสมอว่าเขาเสียเวลามาเยอะแล้ว โดยเฉพาะเวลาที่สูญเปล่าในค่ายทหารเขาไม่สามารถลงมือทำเพลงของเขาได้เลย ได้แต่คิดว่าถ้าปลดจากทหารไปแล้วเขาจะเริ่มลงมือทำเพลงของเขาให้เสร็จทันทีเขาจะไม่มามัวนั่งเสียเวลาอีกต่อไป
        สองปีผ่านไป เขาปลดประจำการจากการเป็นทหาร เขากลับมาเรียนที่เดิม เขายังคงนั่งเพ้อฝันอยู่เหมือนสองปีที่แล้วไม่มีผิด เขาคอยพูดกับใครต่อใครที่เขารู้จักว่าสักวันเขาจะต้องทำเพลงและจะต้องเป็นศิลปินให้ได้ จนเวลาผ่านไป เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
ในขณะที่เพื่อนๆของเขาที่เรียนรุ่นเดียวกันต่างก็เรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงานกันหมด แต่เขายังคงต้องกลับมานั่งเรียนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเหมือนเดิม นั่งฟังเพลงเหมือนเดิม นั่งเพ้อฝันพูดคุยกับตัวเองทุกๆคืนแต่ไม่คิดจะลงมือทำซักที เขายังคงนั่งรอโชคชะตา รอคอยวาสนามาหล่นทับ
รอ รอ  รอ และรอด้วยความคาดหวังในความฝัน เขานึกถึงตัวละครที่ชื่อพรสวรรค์

ใช่แล้ว!!!” เขาพูดขึ้นมา นี่เรากลายเป็นตัวตลกให้คนรอบข้างหัวเราะเราเหรอ?”

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

คิดถึงบ้าน

ปิดเทอมแล้ว อยากกลับบ้านนอกเข้าป่าไปพักผ่อน สูดอากาศที่บริสุทธิ์ของบ้านเรา ปล่อยวางสิ่งต่าง พักผ่อนแลธรรมชาติ กินข้าวฝีมือที่บ้าน นานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวที่บ้านจนเราเกือบลืมไปแล้วว่ารสชาติความอร่อยเป็นยังไง กลับไปช่วยงานพ่อกับแม่ กลับไปเป็ฯพี่ชายของน้องๆที่ป่านนี้คงร้องหา กลับไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อนๆที่เคยวิ่งไล่กันตอนเด็กๆป่านนี้คงงจะมีลูกมีเมียกันหมดแล้ว และคงจะมีเรื่องให้คุยกันจนรุ่งสาง ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ผมคิดถึงบ้านมากๆ คิดถึงกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น คิดถึงอย่างบอกไม่ถูก ยอากกลับไปอยู่บ้านนานๆ แต่ก็คงได้อยู่แค่สามสี่วัน เพราะต้องเดินทางไปฝึกงานต่ออีก ขอให้สามสี่วันที่ผมได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว จงเป็นสามสี่วันที่มีค่า ที่มีความสุข ที่มีรอยยิ้มแห่งความคิดถึง ความห่วงหา การรอคอย ตักตวงความสุขตามเวลาอันแสนน้อยนิดให้จิตใจได้มีแรงเดินทางต่อ กลับไปชาร์ตแบตให้ร่างกาย ได้มีกำลังใจในการทำงาน เมื่อก่อนผมไม่รู้น่ะ แต่ตอนนี้ผมเริ่มศรัทธาในคำๆนี้แล้ว "ไม่มีสุขใด จะเท่าบ้านเรา" จริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความศรัทธา

#ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่ไหน อย่างไร 
สำคัญที่สุด เราไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของใค
และไม่สามารถบังคับจิตใจใครได้
สุดแล้วแต่ใจของใครแต่ละคนที่จะมานิยมชมชอบในตัวเรา
สิ่งที่ดีที่สุดคือ การทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิด
และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของโลก
ที่ผันเปลี่ยนไปทุกวัน ตามยุคสมัย กาลเวลา#

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พลฯ อินดี้


บทความบทนี้เป็นบทความที่เขียนไว้ในเฟสบุ๊คเมื่อเช้าวันที่ 31 ตุลาคม 53 ก่อนเดินทางไปรับใช้ชาติไม่ถึงหนึ่งวัน เราตั้งใจบรรยายความรู้สึกของเราสั้นๆผ่านบทความบทนี้เพื่อบอกลาเพื่อนๆทุกคน เวลาผ่านมาสองปีแล้วแต่ความรู้สึกในวันนี้เรายังคงจำได้ดีทีเดียว ทั้งความหดหู่ใจ ที่ต้องจากครอบครัว เพื่อนฝูง และคนที่รักไป เราเลยอยากถ่ายทอดความรู้สึกของเราในวันนี้ให้ทุกคนได้อ่านกันอีกครั้ง
ทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่




" เก็บชุดนักศึกษา กีต้าร์ ขาไมค์ ใส่กระเป๋า หยิบเอาชุดทหาร เต็มยศ มาสวมใส่ ชีวิตศิลปิน ใครเล่า จะเข้าใจ ความภูมิใจ ของสามัญชน คนธรรมดา
  วิชาความรู้ในมหาลัย คงต้องพัก กีต้าคู่ใจต้องเก็บไว้ แล้วหันจับปืนคู่กาย กางเกงยีนส์ขาดๆ คอนเวิสคู่เก่ง เสื้อยืดตัวเก่า พับเก็บไว้ แล้วใส่ชุดตามระเบียบ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต คงขัดกับอิสระภายในความคิด แต่ก็ยังอยู่ในวินัย
  โลกนี้ช่างกว้างไกล ถนนยังยาวไกล มิตรภาพยังคงอยู่ เสียงเพลงยังก้องในโสตประสาท ความจริงยังมีอยู่ทุกที่ จงก้าวต่อไป อย่างเต็มภาคภูมิ"



                                                                                           วรกันต์ พลฯอินดี้

สังคม วัตถุ ความรัก

สังคมทุกวันนี้ต้องการความจริงใจ
ผู้คนสมัยนี้เลือกคู่ครองกันที่รูปร่าง หน้าตา สวย หล่อ
ชื่อเสียง เงินทอง เอาไว้เดินอวดกัน วัตถุนิยม
 นั้นคือความจริงใจหรือความพึงพอใจ
นั้นคือ สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตหรือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในชีวิต
 แฟนดีๆเราไม่ต้องเดินตามหา แฟนหน้าตาดีๆคุณต้องคอยตามหา
เขาใช้อะไรตัดสิน ความสุขข้างกาย
หรือคนเราต้องหาสิ่งดึงดูดใจราคาแพงๆมาทำให้คนรักเราอย่างนั้นเองหรือ





                                                                                    วรกันต์

ความกลัว

คนเราต้องการที่จะหลีกหนีเมื่อเผชิญกับความหวาดกลัว
 เพียงเพื่อการเอาตัวรอดไปวันๆ บางครั้งไม่เคยรู้จักกับความพ่ายแพ้
 เพราะหลีกทางให้กับมันอยู่ตลอดเวลาเมื่อพบเจอ
 เพียงเพื่อเอาตัวรอด ขี้ขลาดเมื่อเจอกับปัญหา
แล้วเมื่อไหร่ ตอนไหนที่คุณเจอได้เจอกับความยากลำบาก
และต่อสู้กับมันเพื่อให้ได้ชัยชนะ ได้รับความสำเร็จ
 และได้รับการยกย่องจากคนรอบข้างอย่างเต็มภาคภูมิ



              "ชีวิตเราล้มบบ้างก็ได้
              เมื่อเหนื่อยก็หยุดพักบ้างก็ได้
              เพื่อจะได้คิดได้ทบทวนอะไรดีๆขึ้นมาได้บ้าง"





                                                     วรกันต์

แนะนำความตั้งใจ

อยากจะสร้างความประทับใจ      บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร    คิดว่าเวลาคงเหมาะแก่การที่เราจะหยิบยื่นเรื่องราวที่ผ่านพบเจอ    มาถ่ายทอดให้ทุกคนได้อ่าน 
เราได้พูดคุยกับพี่ปลาเจ้าของร้านหนังสือบูคู ปัตตานี  เขาบอกเราว่า ถ้าเราไม่ติสก์มากเกินไปหรือไม่ยึดติดมากเกินไปก็เอาเรื่องราวที่เราเขียนไว้มาลงในบล็อกเถอะ  สมัยนี้เทคโนโลยีมันช่วยเราให้สะดวกมากขึ้น เข้าถึงคนอ่านมากขึ้น ,,,,,,,,,
เราเริ่มลงมือนั่งเขียนหนังสือ แต่งบทกวี ด้วยความสับสนภายในจิตใจ ในตอนนี้เราคิดอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีเป้าหมาย ไม่คาดหวังว่าจะเขียนเพื่อต้องการให้ผู้อ่านได้รับทราบอะไร หรือตัวเราต้องการจะสื่อสารอะไรให้คุณได้รับรู้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้เจอเรื่องราวอะไรค่อนข้างมากทั้งดีและร้าย สุขและทุกข์ มันคือชีวิตของเราที่ได้เรียนรู้และพอเจอกับอะไรมากมายด้วยตัวเราเอง อนาคตเราจะเป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้ จะทำงานอะไร มีครอบครัวหรือไม่ ยังไม่รู้ อยากให้ทุกคนตั้งเป้าหมายของชีวิตของตัวเองให้ดี จะได้ไม่เลื่อนลอยเหมือนดั่งบทความบทนี้ ที่ยังสับสนอยู่ภายใต้ความคิด และความทุกข์อย่างไม่มีจุดหมาย